FAQ อ่านก่อนติดตั้ง

ECOBLUE FAQ

ในตลาดมีฟิล์มหลากหลายชนิด โดยทั่วไปแบ่งได้คือ

ฟิล์มย้อมสี  ฟิล์มโลหะทั่วไป  และฟิล์มเซรามิคอื่นๆ

ฟิล์มโลหะทั่วไปผลิตจากโลหะเช่น อลูมิเนียม นิกเกิ้ลหรือบรอนซ์ ซึ่งฟิล์มโลหะเหล่านี้สามารถผลิตให้สามารถลดความร้อนสูงได้แต่จะมีเงาสะท้อนสูงและค่อนข้างมืด  รวมทั้งอาจรบกวนสัญญาณสื่อสารได้ด้วย ส่วนฟิล์มเซรามิคไม่มีเงาสะท้อน ความสามารถในการลดความร้อนจะขึ้นกับคุณสมบัติของฟิล์มว่ามีค่าการลดรังสีอินฟาเรดมากน้อยเท่าไหร่ เช่น ลดรังสีอินฟาเรดน้อยกว่า 80% ซึ่งทำให้ผู้ใช้มีความรู้สึกว่ายังลดความร้อนได้น้อย ฟิล์มเซรามิค ECOBLUE จะเป็นฟิล์มที่มีค่าการลดรังสีอินฟาเรดในแต่ละรุ่นมากกว่า 90% เป็นต้นไป เงาสะท้อนต่ำ ไม่มีปัญหาเรื่องรบกวนสัญญาณ (ยกเว้นบางรุ่น) สามารถเลือกความเข้มของฟิล์มได้หลากหลาย เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้จะได้รับความสบายตลอดเวลาในการใช้งาน

ฟิล์มเซรามิคมีหลากหลายประสิทฺธิภาพ ถ้าสว่างเท่ากัน ฟิล์มเซรามิคที่มีค่าการลดรังสีอินฟาเรดมากกว่า จะให้ความรู้สึกที่เย็นกว่า  แต่ไม่สามารถบอกความแตกต่างนี้ได้ด้วยตาเปล่า เบื้องต้นสามารถใช้สเปกโตโฟเตอร์มิเตอร์แบบพกพา วัดค่าการลดรังสีอินฟาเรดที่บางค่า (  900,1400 nm)  ฟิล์มเซรามิค ECOBLUE จะเป็นฟิล์มที่มีค่าการลดรังสีอินฟาเรด มากกว่า 90% ทำให้รู้สึกเย็นทุกขณะการขับขี่ ( ค่าคุณสมบัติอื่นๆ ปรึกษาผู้จำหน่าย )

 

  

รังสีอินฟาเรดเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งในแสงแดดที่มาจากดวงอาทิตย์ พร้อมๆกับคลื่นแสงสว่าง คลื่นยูวี และคลื่นอืนๆ  รังสีอินฟาเรดในแสงแดดอยู่ระหว่างช่วงคลื่น 750-2500 nm ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของพลังงานจากแสงแดด ประเด็นสำคัญคือรังสีอินฟาเรดมีผลต่อระบบประสาทรับรุ้ความรู้สึกร้อนของมนุษย์ โดยจากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า รังสีอินฟาเรดทำให้โปรตีนที่ทำหน้าที่เปิดปิดการนำกระแสไฟฟ้าไปยังสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกร้อนให้ทำงาน ดังนั้นเมื่อฟิล์มเซรามิค ECOBLUE ลดอินฟาเรดได้มากสูงสุดถึง 99% จึงทำให้คนรู้สึกร้อนน้อยลงได้อย่างทันที แสงสว่างในแสงแดดสามารถเปลี่ยนเป็นความร้อนได้เช่นกันแต่ใช้เวลานานกว่า ดังนั้นการใช้ฟิล์มอีโค่บลูจึงให้ทั้งความสบายและความสว่างในการขับขี่ (ดูเพิ่มเติม Solar Radiation ใน internet)

นทางทฤษฎี การศึกษาเรื่องการลดความร้อนจากแสงแดดของวัสดุ จะดูค่า สัมประสิทธิ SHGC solar heat gain coefficient และค่า U-value เป็นหลัก แต่เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจในด้านฟิล์มกรองแสง จึงได้มีการพิจารณา   การลดความร้อนรวม ซึ่งเท่ากับค่า 1-SHGC อย่างไรก็ตามสำหรับฟิล์มเซรามิคที่เน้นในส่วนการลดรังสีอินฟาเรดใช้การระบุว่าฟิล์มสามารถลดรังสีอินฟาเรดได้สูงสุดเพียงใด ซึ่งโดยทั่วไปจะพิจารณาที่ค่าการลดรังสีอินฟาเรดที่ช่วงคลื่น 900 หรือ 1400  nm  ฟิล์มเซรามิคที่ลดค่าอินฟาเรดได้มาก มีแนวโน้มให้ความสบายต่อความรู้สึกได้ดีกว่าฟิล์มที่ลดรังสีอินฟาเรดน้อย เนืองจากเหตุผลทางด้านระบบประสาทรับรู้ความรู้สึก แต่ไม่ได้หมายความว่า  ในแง่ของการประหยัดพลังงานโดยรวม ฟิล์มเซรามิคที่ลดค่าอินฟาเรดได้มากกว่าจะประหยัดพลังงานได้มากกว่า  เนื่องจากมีหลายองค์ประกอบในการพิจารณาการลดความร้อนรวจากแสงแดด ซึ่งหากต้องการค่าที่ถูกต้อง จะต้องทดสอบโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า เครื่อง Spectrophotometer ในการวัดค่าทางพลังงานต่างๆ  (ดูหัวข้อ Heat Transfer ใน  internet)


ปัจจุบัน การติดตั้งฟิล์มจะเลือกจากค่าความสว่าง  ซึ่งไม่ได้มีมาตรฐานใดกำกับ โดยส่วนใหญ่จะใช้ 1) ค่า % แสงส่องผ่าน 2) ค่าความเข้ม 

1) % ค่าแสงส่องผ่าน เป็นค่า % ช่วงคลื่นแสงสว่างที่ผ่านกระจกติดฟิล์มในช่วง 380-750 nm ที่ผ่านมาได้มากที่สุด  ฟิล์มกรองแสงที่ใช้วัสดุต่างชนิดกัน จะให้ % ค่าแสงส่องผ่านสูงสุดได้เท่ากันแต่อาจจะคนละช่วงคลื่น  เช่น ฟิล์ม A %  แสงผ่านสูงสุด 40% ที่ช่วงคลื่น 650 nm  แต่ฟิล์ม B มี %  แสงผ่านสูงสุด 40%  ที่ช่วงคลื่น 700 nm 



2) ค่าความเข้ม   เพื่อความง่ายและสะดวกในการติดตั้งจะใช้วิธีเรียกแบบความเข้ม เช่น ความเข้ม 40, 60  หรือ 80% ซึ่งเป็นการเลือกโทนหรือความเข้มฟิล์มแบบตร่าวๆเท่านั้น ซึ่งการเรียกความเข้มของฟิล์มติดรถยนต์ไว้ 3 ระดับ คือ 40/60/80 เป็นความเข้าใจผิด และควรเรียกความเข้มของฟิล์มโดยพิจารณาค่าแสงสว่างส่องผ่าน (Visible light transmission )VLT    ระดับความเข้มของฟิล์มที่ระบุ 40/60/80 จะให้ช่วงแสงส่องผ่านในระดับประมาณนี้
ติดฟิล์มรถยนต์เข้ม 40 คือฟิล์มที่ยอมให้แสงส่องผ่าน ( VLT ) ได้ประมาณ 40-50 %
ติดฟิล์มรถยนต์เข้ม 60 คือฟิล์มที่ยอมให้แสงส่องผ่าน ( VLT ) ได้ประมาณ 18-20 %
ติดฟิล์มรถยนต์เข้ม 80 คือฟิล์มที่ยอมให้แสงส่องผ่าน ( VLT ) ได้ประมาณ 5-10 %



ดังนั้นทางบริษัทแนะนำให้เจ้าของรถดูตัวอย่างฟิล์มจริงก่อนติดตั้ง อย่างไรก็ตาม การดูตัวอย่างฟิล์มจริงกับการติดตั้งสามารถให้สีที่แตกต่างกันได้อันเนื่องมาจากผลกระทบจากความสว่างและเฉดสีของฟิล์มส่วนอื่นๆ 

ยังมีความเข้าใจผิด ว่าติดฟิล์มลดอินฟาเรดมากๆดีๆ แล้วต้องไม่ร้อน คำตอบคือไม่จำเป็นเสมอไป

ในความเป็นจริง ฟิล์มทำหน้าที่ลดความร้อนเข้าสู่ตัวรถ และแอร์รถยนต์ทำหน้าที่ทำความเย็น เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ไม่เปิดแอร์ขับรถคงเหมือนอยู่ในเตาอบแน่นอน ดังนั้นแม้จะใช้ฟิล์มที่ดีที่สุดก็ยังคงร้อนได้ ถ้าแอร์ไม่ดี ปรับแอร์ไม่เหมาะสม  แต่จะรู้สึกร้อนน้อยหรือมาก และระคายเคืองผิวมากน้อยแค่ไหน  เป็นเรื่องของระบบประสาทรับรู้ส่วนบุคคล แต่ละคนรู้สึกร้อนไม่เท่ากัน เช่น คนอ้วนร้อนง่ายกว่าคนผอม คนที่ทำงานต่างกันก็มีความรู้สึกร้อนได้ต่างกัน และรวมไปถึงความร้อนที่เข้าไปในรถยังมีผลมาจากรูปแบบโครงสร้าง มุมองศา วัสดุของรถแต่ละรุ่นด้วย แต่การใช้ฟิล์มเซรามิคที่ลดอินฟาเรดมากกว่า 95% ช่วยให้รู้สึกร้อนน้อยกว่า และเย็นเร็วกว่า  

มีความเป็นไปได้น้อยมาก และต้องระบุว่าค่าความร้อนดังกล่าวคือค่าอะไร ใช้วิธีการวัดค่าอย่างไร ตามมาตรฐานไหน โดยเฉลี่ยฟิล์มที่แสงสะท้อนต่ำกว่า 10% แสงผ่าน 40% ค่าการลดความร้อนรวมสูงสุดประมาณ 50-60% ส่วนแสงสว่างที่ลดลงมีผลต่อการลดความร้อนรวมค่อนข้างน้อย ฟิล์มเซรามิคอีโค่บลูถูกทดสอบด้วยการวัดค่าทางแสงและความร้อนตามมาตรฐาน ISO9050:1990(E) และ ISO 10292:1994(E) ด้วยเครื่องมือ Spectrophotometer Perkin Elmer Lamda 250

ในส่วนของการระบุค่าการลดรังสีอินฟาเรดอย่างง่ายจะเป็นการระบุเฉพาะจุดที่ช่วงคลื่น 900 หรือ 1400  nm แต่สามารถตรวจสอบกราฟสเปกตรัมของฟิล์มแต่ละชนิดได้เพื่อดูว่าฟิล์มสามารถลดอินฟาเรดในแต่ละจุดช่วงคลื่นอินฟาเรดได้มากน้อยเท่าไหร่


ความเข้าใจผิดที่แพร่หลายในการใช้สูตรคำนวณค่าความร้อนที่ฟิล์มลดได้คือ เช่น 

100% -(0.43* %ค่าแสงส่องผ่าน  + 0.54*%ค่าอินฟาเรดส่องผ่าน + 0.3*%ค่ายูวีส่องผ่าน) 

ยกตัวอย่างเช่น  ในเอกสารลงคุณสมบัติฟิล์ม แสงผ่าน 40%  ลดอินฟาเรด 90%(= ผ่าน 10%) ลดยูวี 99%  ค่าการลดความร้อนรวมจะเป็น

0.43x40% (=17.2%) +  0.54*10%(=5.4%) + 0.3*1%(=0.3)  รวมเป็นลดความร้อนได้  100-( 17.2 + 5.4 + 3) =  74.4% 

ในความเป็นจริงฟิล์มสเป๊กนี้จะมีค่าการลดความร้อนประมาณ 50-55% เท่านั้น เกิดความผิดพลาดถึง 20-25%!!!

ซึ่งหากนำฟิล์มสเป๊คนี้ไปติดตั้งใช้จริง จะรู้สึกอุ่นๆ ไม่ได้เย็นอย่างที่ตัวเลขแจ้งไว้ เพราะสมการนี้เป็นคำนวณจากค่าการลดอินฟาเรด หรือแสงสว่างส่องผ่านที่ได้มาจาก เครื่องมือที่ใช้กันทั่วไป เป็นการวัดค่าแค่บางจุด ไม่ใช่ค่าทั้งหมดชองแสงอาทิตย์ จึงเกิดความผิดพลาดอย่างมาก

ดังนั้น ฟิล์มเซรามิคอีโค่บลูที่ถูกทดสอบด้วยเครื่องมือมาตรฐานจึงให้ค่าการลดความร้อนที่ถูกต้องแม่นยำกว่า และนี่คือสาเหตุที่ทำไมค่าการลดความร้อนของอีโค่บลูน้อยกว่าฟิล์มอื่นๆ แต่ให้ความรู้สึกที่เย็นกว่า

"ไม่จริง” เนื่องจากปัจจุบัน ฟิล์มเซรามิคถูกเข้าใจผิดว่า ใช้แล้วจะเย็น จริงๆแล้วแบบไม่เป็นทางการ ฟิล์มเซรามิค วัดกันที่ ค่าการลดความร้อนรังสีอินฟาเรด ซึ่งจะแยกประสิทธิภาพคร่าวๆได้ประมาณนี้

50-70%=พอใช้     70-80% =ปานกลาง     80-90% =ปานกลาง-ดี      95-99% =ดีมาก

การใช้ฟิล์มเซรามิคที่ 95% จะให้ความรู้สึกที่เย็น แตกต่างจากฟิล์มอื่นอย่างชัดเจน  แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าฟิล์มเซรามิคที่ติดตั้งไปเป็นเกรดไหน

ดูรหัสและสามารถวัดฟิล์มได้จากเครื่องมือที่มีอยู่ทีศุนย์ติดตั้งได้ทันที

ฟิล์มเซรามิคอีโค่บลูรุ่น MAX VK ถูกเคลือบด้วยชั้นเงินและเซรามิคกว่า 9 ชั้นซึ่งทำให้มีคุณสมบัติพิเศษเหนือกว่าฟิล์มเซรามิคอื่นๆนั่นคือ สามารถสะท้อนรังสีอินฟาเรด โดยที่ไม่สะท้อนแสงสว่าง อมความร้อนน้อย ลดความร้อนได้มากกว่าฟิล์มเซรามิคเทคโนโลยีอื่นๆที่ความสว่างใกล้เคียงกัน 

ด้วยคุณสมบัติพิเศษของฟิล์มเซรามิคอีโค่บลูรุ่น MAX VK ทำให้เกิดการรบกวนของสัญญาณสื่อสารของอุปกรณ์ชนิดต่างๆ รวมไปถึง การติดตั้งอาจเกิดคลื่นๆ หรือรอย"ฝ้าขาว" ในบางจุด เป็นผลเนื่องมาจากการใช้ความร้อนในการขึ้นรูปฟิล์มสำหรับรถยนต์ในบางรุ่นที่กระจกมีความโค้งมาก ซึ่งทางบริษัทถือว่าเป็นความปรกติในการติดตั้งและสงวนสิทธิในการเปลี่ยนฟิล์มให้ใหม่่จากเหตุดังกล่าว

ไม่ควรกดกระจกขึ้นลงใน 7-15 วัน

ไม่ควรทำความสะอาดฟิล์มด้านใน 15-30 วัน

ไม่ควรติดตั้งที่ดูดสุญญากาศบนผิวกระจกหน้าใน 30 วันหลังติดตั้ง

การทำความสะอาดใช้สบู่เหลวหรือน้ำยาเช็ดกระจกที่ไม่มี "แอมโมเนีย"

ในระหว่างรอฟิล์มแห้ง ประมาณ 7-15 วัน จะเกิดคลื่น ตุ่ม ฟองซึ่งเป็นน้ำยาที่เหลือจากการติดตั้ง ห้ามเช็ด ถู ขยี้ อาจทำให้ฟิล์มเสียหายได้ ซึ่งฟิล์มจะแห้งเร็วมากขึ้นหากอากาศร้อน หรือจอดรถตากแดด


เข้มนอกสว่างใน เข้มแต่เคลียร์ เป็นเทคนิกการติดตั้งฟิล์ม ที่อาศัยความแตกต่างของแสงระหว่างภายนอก และภายในของรถยนต์ทำให้  คนภายในรถเห็นภายนอกได้สว่าง แต่คนภายนอกรถเห็นภายในรถได้ยาก  โดยมีหลักคร่าวๆว่า ให้ติดฟิล์มที่แสงส่องผ่านได้มากที่กระจกบังลมหน้า เช่น 20%  ส่วนกระจกส่วนที่เหลือให้ติดฟิล์มที่แสงส่องผ่านได้น้อยเช่น 5%

หลอดไฟสีแดงหรือหลอดอินฟาเรดนั้น จะปล่อยรังสีอินฟาเรดในบางช่วงคลื่นออกมา ซึ่งขึ้นกับการผลิตว่าเป็นช่วงคลื่นใด ซึ่งจะแตกต่างจากความร้อนของแสงอาทิตย์ในเวลาขับรถค่อนข้างมาก ยกตัวอย่างเช่น หลอดอินฟาเรด OSRAM 250w จะปล่อยช่วงคลื่นรังสีอินฟาเรดส่วนใหญ่เฉพาะในช่วง 1100 nm ในขณะที่แสงแดดมีค่าอินฟาเรดตั้งแต่ 750-2500 nm ซึ่ง หากฟิล์มใดสามารถลดรังสีอินฟาเรดในช่วง 1000 nm นี้ได้มาก ผู้ทดสอบจะรู้สึกเย็น

การทดสอบเช่นนี้คล้ายกับการวัดฟิล์มด้วย spectrophotometer แบบพกพา คือเป็นการแสดงประสิทธิภาพของฟิล์มอย่างง่ายๆ แต่จะแม่นยำน้อยกว่าการใช้มิเตอร์



ต้องยอมรับว่า ในเมืองไทย กรุงเทพ ฝุ่นละอองเยอะ โดยเฉพาะในบางสถานที่ ในการติดตั้งฟิล์ม สามารถมีเม็ดฝุ่นเกิดขึ้นได้จากหลากหลายปัจจัย แม้ว่าจะติดตั้งในห้องปิด เพื่อลดการฟุ้งกระจายของฝุ่น เช่น ฝุ่นที่อยู่ในรถ หรือตามซอกขอบประตู ที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้หมด 100% ซึ่งฝุ่นผงละเอียดเหล่านี้สามารถปลิวฟุ้งขึ้นมาติดบนกระจกได้ในขณะที่ติดตั้ง

และฝุ่นเหล่านี้อาจจะมองไม่เห็น หากใช้ฟิล์มที่มีความสว่าง 60-70% แต่หากติดฟิล์มที่มีความเข้มมากๆ จะเห็นฝุ่นละอองเหล่านี้ได้มากขึ้น

และหากฟิล์มมีความหนามากขึ้น เช่น 2 มิว เม็ดฝุ่นจะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากความหนาของฟิล์มทำให้ไม่สามารถเก็บรายละะเอียดให้เล็กลงได้ 

ดังนั้น ร้านติดตั้งจะไม่ได้ให้การรับประกันเปลี่ยนฟิล์มสำหรับในกรณีที่เกิดฝุ่นละอองติดอยู่ที่ฟิล์มบ้าง

ในการติดตั้งฟิล์มบางครั้ง อาจเห็นรอยขาวที่บริเวณจุดไข่ปลา หรือเส้นไล่ฝ้าได้ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ สำหรับรถบางคัน บางรุ่น และฟิล์มบางชนิด เนื่องจากบริเวณจุดไข่ปลาหรือเส้นไล่ฝ้า พื้นผิวจะนูนสูงขึ้นมาสูงกว่าผิวกระจก และกาวที่ติดตั้งฟิล์มไม่สามารถติดบริเวณไข่ปลาหรือเส้นไล่ฝ้าเหล่านี้ได้ นอกจากนี้ขนาดของจุดไข่ปลาและเส้นไล่ฝ้าของรถยนต์แต่ละรุ่น แต่ละแบรนด์ไม่เหมือนกัน รวมทั้งความหนาของฟิล์มที่ใช้ในการติดตั้ง ทำให้เห็นเส้นขาวนี้ได้ชัดเจนมากน้อยแตกต่างกันไป ความเข้มของฟิล์มก็มีส่วน ถ้าติดฟิล์มที่มีความเข้มมาก จะทำให้เห็นเส้นขาวนี้ได้ชัดเจนมากขึ้น

ในการติดตั้งหรือเปลี่ยนฟิล์มใหม่ หากเห็นอาการเหล่านี้ เป็นเรื่องปรกติ



กาวบนฟิล์มกรองแสงถูกออกแบบมาเพื่อให้ยึดติดกับฟิล์มกระจกได้ดี แต่บนผิวอื่นๆเช่น สีสกรีน ไข่ปลา กาวอาจจะติดหรือไม่ติดก็ได้ 

ดังนั้นอาจเกิดปัญหาฟิล์มหลุดลอกบริเวณไข่ปลาด้านหน้าช่วงกระจกมองหลัง หรือที่บริเวณขอบกระจก

แต่หากสกรีนไข่ปลาของกระจกด้านหน้าอยู่ในระหว่างชั้นกระจก ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น

ดังนั้นการหลุดลอกของฟิล์มบริเวณไข่ปลาถือเป็นเรื่องปรกติ ซึ่งแก้ไขได้โดย 

ทากาว หรือกรีดฟิล์มบริเวณนั้นออกไป


ในการติดตั้งฟิล์มบางครั้ง เนื่องจากบริเวณเส้นไล่ฝ้า พื้นผิวจะนูนสูงขึ้นมาสูงกว่าผิวกระจก และกาวที่ติดตั้งฟิล์มไม่สามารถติดบริเวณเส้นไล่ฝ้าเหล่านี้ได้ ทำให้เกิดช่องอากาศ ซึ่งหลังจากติดตั้งฟิล์มใหม่ๆ ในช่องเหล่านี้จะมีของเหลวพวกน้ำยาติดตั้งที่ยังไม่แห้งขังอยู่ จึงทำให้เกิดการหักเหของแสงไฟของรถข้างหลัง และเห็นซ้อนเป็นชั้นๆ อาจมีการพล่ามัวของแสงไฟในบางโอกาส อาการเหล่านี้จะค่อยๆดีขึ้น เพราะน้ำยาที่ขังอยู่ระหว่างเส้นไล่ฝ้าจะระเหยหายไป ซึ่งลดการหักเหของแสง แต่อย่างไรก็ตามปัญหานี้ยังคงมีได้แม้ว่าฟิล์มจะแห้งตัวดีแล้ว



           เนื่องจากฟิล์มเซรามิคอีโค่บลูบางรุ่นใช้เทคโนโลยีการปั่น Grinding ผงเซรามิคให้มีขนาดเล็กระดับนาโนเมตร เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการลดความร้อนในแสงแดดสูงมากที่สุด เพื่อความเย็นสบาย  ทำให้บางครั้งหลังติดตั้งใหม่ๆในช่วงแรกอาจมีความฝ้ามัว อันเนื่องมาจากเกิดการกระเจิงแสงผ่านน้ำยาติดตั้งที่ยังค้างอยู่ในชั้นฟิล์ม  ซึ่งอาการฝ้ามัวเหล่านี้จะค่อยๆดีขึ้นเมื่อน้ำยาติดตั้งแห้งสนิท อาจจะใช้ระยะเวลา  4-12 สัปดาห์

เมื่อน้ำยาแห้งสนิทแล้ว จะสังเกตุได้ว่าในตอนมืดกระจกจะมีความใสชัดเจน  และสำหรับกลางวันกระจกอาจมีลักษณะฝ้ามัวเล็กน้อยได้ในบางขณะเมื่อโดนแสงแดดในบางมุม  ซึ่งเป็นลักษณะปรกติของฟิล์มเซรามิคที่ใช้เทคโนโลยีแบบ Gringing


       

เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าในการติดตั้งฟิล์มใหม่ทดแทนฟิล์มเดิมนั้น ในการลอกฟิล์มกระจกบานหลัง มีโอกาสที่เส้นไล่ฝ้าจะเสียหายจากการลอกฟิล์ม แม้ว่าจะใช้วิธีการลอกฟิล์มที่นุ่มนวล เช่น การบ่มฟิล์ม การใช้ไอนำ้ร้อน ทดแทนการใช้มีดโกนขูดคราวกาวเก่า  โดยสาเหตุความเสียหายอาจมาจาก

- คุณภาพของเส้นไล่ฝ้า

- สภาพกาวของฟิล์มเดิม

ดังนั้นทางบริษัทไม่สามารถรับประกันความเสียหายของเส้นไล่ฝ้าของกระจกหลังอันเนื่องมาจากการลอกฟิล์มได้  และไม่สามารถรับผิดชอบความเสียหายของเส้นไล่ฝ้าในทุกกรณี



Powered by MakeWebEasy.com
This website uses cookies for best user experience, to find out more you can go to our Privacy Policy  and  Cookies Policy